๑ พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อต้น เป็นผลทำให้ท่านเห็นว่า กายและขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่ของเราเป็นของไม่เที่ยง จึงไม่ยึด ไม่มีความสงสัยในพระรัตนตรัย ถึงไตรสรณคมน์อย่างเที่ยงแท้ไม่เสื่อมคลาย เห็นกรรมมีในตนท่านจึงกลัวกรรม ไม่กล้าทำบาปด้วยประการทั้งปวง ศีลบริสุทธิ์ตลอดชีวิต ไม่มีการลูบคลำศีล มีความละอายตลอด เจตนาผิดศีลโดยลามกไม่มี ปิดอบายภูมิ กิเลสยังมีเต็ม ๑๐๐ เข้าสู่กระแสพระนิพพาน จะมาเกิดในท้องของแม่อีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์
๒ พระสกิทาคามี ละสังโยชน์ได้ ๓
ข้อต้นและทำสังโยชน์ข้อ ๔ คือราคะและข้อ ๕ คือปฏิฆะให้เบาบางลง ๙๙–๕๑ % แต่ละชั้นกิเลสขาดแล้วขาดเลยไม่เกิดขึ้นมาอีกได้แล้วไม่เสื่อม
ความกำหนัดเริ่มเบาบางจึงมีความรำคาญบ้าง
จิตดูดดื่มและเริ่มปล่อยวางเป็นไปตามลำดับ จะมาเกิดในท้องของแม่อีกไม่เกิน ๑ ชาติแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์
๓ พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้ ๕ ข้อต้น (ปริยัติท่านวางไว้กลางๆ) เรื่องกามราคะไม่ดีดดิ้น ความกำหนัดขาด ๕๐ % จึงไม่มีความรำคาญ จืดชืดเรียนจบและสอบผ่าน คือตายแล้วไม่กลับมาเกิดในท้องแม่อีก แต่ไปเกิดเป็นอุปปาติกะ (เกิดแบบเติบโตขึ้นทันที) ที่เกิดของพระอนาคามีคือสุทธา
วาส
๕ (อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา) เปรียบเทียบ ๕๐–๙๙ % จิตยังไม่บริสุทธิ์ละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆเต็มภูมิที่อกนิฏฐาแล้วดีดเข้าพระนิพ
พานเลย
สังโยชน์ข้อ ๖ – ๑๐ ติดทุกคน แต่เบาบางและละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ สังเกตความฟุ้งซ่านลดลง กิเลสเบาบางมากแทบไม่มี
เพราะตัวหนักๆหมดไป ที่เหลือจึงเป็นฝอยๆ สติปัญญา ความเพียรและฆ่ากิเลสอัตโนมัติ (เป็น
ไปเองไม่ต้องบังคับ)
ชำนาญการเข้าออกสมาธิ เรียกว่ามหาสติมหาปัญญา
(สติปัญญาขั้นสูงสุด) ใช้เรียกสำหรับพระพุทธเจ้า เกิดจากสติที่มีกำลังกล้าและมีความคล่องตัว
เทียบกับสติปัญญาอัตโนมัติ ใช้เรียกสำหรับสาวก ไม่มีปริยัติมีแต่จิตล้วนๆ ที่สุดจึงต้องใช้การพิจารณาจิต (ผู้รู้) เพื่อทำกิเลสในส่วนที่ละเอียดให้หมดสิ้นไปจากใจ บรรลุโสดาบัน สกิทาคามีและอนาคามี
แต่ยังมีความสงสัย เพราะกิเลสตัวสุดท้ายคืออวิชชายังไม่หมดสิ้นไป
๔
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ ๑๐ ข้อ อวิชชาดับ (หมดกิเลส) ท่านจึงหมดความสงสัย จิตมีความอิสระและเต็มภูมิ
ถึงความสมบูรณ์และพอตัวของจิตใจ จิตบริสุทธิ์และว่าง (ว่างจากกิเลส) จิตสูญอย่างยิ่ง
(สูญจากกิเลส) จึงเกิดความรู้ว่ากิเลสได้หมดสิ้นไป (นิพพิทาญาณ) กิเลสปรุงก็ปรุงตามธาตุขันธ์ยิบๆแย๊บๆ
ปรุงปั๊บดับปุ๊บ เฉยๆ (ไม่ตื่น) ไม่มีอสุภะและกรรมฐาน (สิ่งเหล่านี้เป็นทางเดินผ่านไปหมดแล้ว)
บรรลุธรรมขั้นสุดยอดเรียกว่าพระนิพพานคือจิตดวงเดียว จิตก็ใช่ธรรมธาตุก็ใช่ ไม่ถอยหลัง
ไม่เดินหน้า (ไม่รำคาญเพราะอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านนั้นหมดสิ้นไป) องอาจสง่าผ่าเผย
นิพพานเที่ยง ,
ว่างตลอดอนันตกาลตั้งแต่กิเลสพังลงไป
สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ
สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ