๑ ทุกข์ (ความทนอยู่ไม่ได้ ทนไม่ได้ เป็นเหตุทำให้ความไม่สบายกายใจเกิดขึ้น) ๒ สมุทัย
(ความไม่เที่ยง =
อนิจจัง ความแปรเปลี่ยน สลายไป
= อนัตตา ความบกพร่องต่างๆ
ความบกพร่องทางด้านจิตใจ
เป็นเหตุทำให้ตัณหาเกิดขึ้น) ๓ นิโรธ (ความสมบูรณ์ , ความพอตัวของจิต ความอยากจึงหมดไปฯ ทำให้เกิดความดับทุกข์) ๔ มรรค (ทางสู่ความดับทุกข์ มัชฌิมาปฏิปทา (มรรคมีองค์
๘ ทางสายกลาง) จึงไม่เป็นธรรมที่ล้าสมัย)
๑ สัมมาทิฎฐิ (ความเห็นชอบ) ๑.๑ ความเห็นชอบทั่วไป บาปมี และบุญมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๑.๒ ความเห็นชอบในกลุ่มของนักปฏิบัติผู้พิจารณา โดยกำหนดพิจารณากายเห็นว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ควรประมาทนอนใจและหาวิธีแก้ไขเพื่อให้พ้นไปจากทุกข์ ๑.๓ ความเห็นชอบในธรรมที่ประณีต คือเห็นชอบในอริยสัจ ๔ ว่าเป็นของจริงอีกแบบหนึ่ง
๒
สัมมาสังกัปโป (ความดำริชอบ ความคิดชอบ) ๒.๑ คิดในการไม่เบียดเบียน
๒.๒ คิดไม่พยาบาทปองร้าย ๒.๓ คิดเพื่อพ้นไปจากทุกข์
๓
สัมมาวาจา (วาจาชอบ) ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ๓.๑
วาจาชอบที่กล่าวทั่วไป ๓.๒
วาจาชอบที่กล่าวตามสุภาษิตไม่เป็นพิษภัยแก่ผู้ฟัง กล่าวมีเหตุผลน่าฟังจับใจ
กล่าวสุภาพอ่อนโยน ๓.๓ วาจาชอบยิ่ง คือกล่าวสัลเลขธรรม (เพื่อฆ่ากิเลสอย่างเดียว)
๔
สัมมากัมมันโต (การงานชอบ) ๔.๑ การงานชอบทั่วไปประการหนึ่ง
เช่น การงานที่ทำโดยชอบธรรมและไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ๔.๒
การงานชอบโดยธรรมประการหนึ่ง เช่น การให้ทานรักษาศีล ภาวนา เดินจงกรมและทำข้อวัตรต่างๆฯ
๕
สัมมาอาชีโว (อาชีพชอบ เลี้ยงชีพชอบ) ๕.๑ การแสวงหาอาชีพโดยชอบธรรม ๕.๒ การพิจารณาเป็นธรรม
จะนำอาหารคือโอชารสแห่งธรรมเข้ามาหล่อเลี้ยงหัวใจให้มีความชุ่มชื่นด้วยความฉลาดแห่งปัญญา
๖ สัมมาวายาโม (ความเพียรชอบ) ๖.๑ เพียรระวังอย่าให้บาปเกิด
ขึ้นในสันดาน
๖.๒ เพียรทำลายบาปที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดสิ้นไป ๖.๓ เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วอย่าให้เสื่อมไปและพัฒนาให้เจริญยิ่งๆขึ้น
สรุปคือความเพียรที่ประกอบด้วยปัญญา วิธีการที่ถูกต้องแม่นยำ
จังหวะที่ควรเร่งก็เร่งเต็มที่ จังหวะที่ควรพักก็ต้องพัก ลดความเพียรแล้วเปลี่ยนอิริยาบถ มีความปลอดภัย
สถานที่เหมาะสม มีกัลยาณมิตรคือครูอาจารย์แนะนำ
ปฏิบัติให้สม่ำเสมอด้วยหลักมัชฌิมาปฏิปทา
เมื่อมีความพอเพียงนิโรธก็
จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์และทำให้ความทุกข์ได้หมดสิ้นไปจากใจ
๗ สัมมาสติ (สติชอบ) สติปัฏฐาน ๔ คือสติกำหนดพิจารณากาย
เวทนา
จิต ธรรม ในที่นี้จะยกเอาสติกำหนดพิจารณาจิต
(ผู้รู้) นำมาแสดงพอให้เป็นที่เข้าใจ
เมื่อจิตสงบเพ่งเบาๆที่ฐานของจิต มโนภาพนึกให้สลายแยกออกตามเข้าไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องละเอียดมาก (โดยอนุโลมปฏิโลม) ด้วยความมีสติตัวรู้ตามตลอด
(สัมมาสติ) แรกเริ่มปฏิบัติสติตามไม่ทันไม่ต้องกังวล
ปฏิบัติให้สม่ำเสมอแล้วจะเกิดความชำนาญ (ดูหน้า ๓๖ – ๓๗
เพิ่ม)
๘
สัมมาสมาธิ (สมาธิชอบ) คือสมาธิที่สัมปยุตด้วยสติปัญญา ไม่ใช่สมาธิแบบหัวตอ (สงบอย่างเดียวไม่ออกทางปัญญา)
สัมมาสมาธิ เมื่อจิตสงบมีสติรู้อยู่ในองค์สมาธินั้นแล้วเพ่งเบาๆไปในที่ตั้งของจิต
เช่น ที่หน้าผากฯ มโนภาพนึกกำหนดให้สลายแยกออกตามเข้าไปเรื่อยๆ ไม่ต้องละเอียดมาก โดยอนุโลมปฏิโลม
จิตจะเป็นวิปัสสนาโดยอัตโนมัติ เรียกว่าการพิจารณาจิต (ผู้รู้) ออกทางปัญญา พิจารณาไตรลักษณ์
ทำให้สม่ำเสมอ เมื่อมีความพอเพียงนิโรธก็จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ = มรรคสมังคี = ความพอเพียงของมรรค = สอุปาทิเสสนิพพานฯ (ดูภาวนาหน้า ๑๐ เพิ่มเติม)
ในองค์มรรค
(มัชฌิมาปฏิปทา ,
ทางสายกลาง , ความพอดี ,
ความพอเพียงฯ) นั้น เห็นชอบ ดำริชอบ
สงเคราะห์เข้าเป็นปัญญาสิกขา วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ สงเคราะห์เข้าในศีลสิกขา เพียรชอบ
ระลึกชอบ สมาธิชอบ สงเคราะห์เข้าในจิตตสิกขา พระพุทธองค์ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า “ ภิกขู สัมมา
วิหะเรยยุง อะสุญโญ โลโก อะระหันเตหิ
อัส
สะฯ ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ โดยชอบ (สัมมา) แล้ว โลกนี้ก็จะไม่ว่างเว้นไปจากพระอรหันต์ฯ ” (มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ / ๑๔๕
)
สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ