8.ภาวนา (การพิจารณาจิต (ผู้รู้) สายตรงพ้นทุกข์)












7.การเดินจงกรม

ก่อนเดินจงกรมให้ระลึกถึงคำว่า “ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พุทโธ ๆ ๆ ” อยู่ในท่าสำรวม มือขวาวางทับมือซ้ายวางบริเวณหน้าท้อง นึกบริกรรมคำว่า “ พุทโธ ๆ ๆ ” ไปเรื่อยๆ หรือใช้คำอื่นก็ได้ ใช้คำเดียวไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อความชำนาญ (วสี) เดินปกติไม่ช้าไม่เร็ว เวลากลับให้กลับทางขวาเพื่อความเป็นสิริเป็นมงคล (กลับทางซ้ายเปรียบกับการวนขึ้นเมรุ) เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถหลังจากภาวนา ประโยชน์เป็นการสะสมพลังจิต (วิหารธรรม , สมาธิตื้น) ออกกำลังกายไปในตัว สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องกำหนดเวลาให้กำหนดสติ เสร็จแล้วให้แผ่เมตตาด้วยคำว่า “ สัพเพสัตตา สุขิตาโหนตุ ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ”


สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ 

6.อริยสัจ ๔ (มรรคสมังคี)

๑ ทุกข์  (ความทนอยู่ไม่ได้  ทนไม่ได้  เป็นเหตุทำให้ความไม่สบายกายใจเกิดขึ้น) ๒ สมุทัย (ความไม่เที่ยง = อนิจจัง ความแปรเปลี่ยน  สลายไป = อนัตตา ความบกพร่องต่างๆ  ความบกพร่องทางด้านจิตใจ   เป็นเหตุทำให้ตัณหาเกิดขึ้น) ๓ นิโรธ (ความสมบูรณ์  ,  ความพอตัวของจิต  ความอยากจึงหมดไปฯ  ทำให้เกิดความดับทุกข์)  ๔ มรรค  (ทางสู่ความดับทุกข์ มัชฌิมาปฏิปทา (มรรคมีองค์ ๘ ทางสายกลาง) จึงไม่เป็นธรรมที่ล้าสมัย)

๑ สัมมาทิฎฐิ (ความเห็นชอบ) ๑.๑  ความเห็นชอบทั่วไป บาปมี และบุญมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๑.๒ ความเห็นชอบในกลุ่มของนักปฏิบัติผู้พิจารณา โดยกำหนดพิจารณากายเห็นว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ควรประมาทนอนใจและหาวิธีแก้ไขเพื่อให้พ้นไปจากทุกข์ ๑.๓ ความเห็นชอบในธรรมที่ประณีต คือเห็นชอบในอริยสัจ ๔ ว่าเป็นของจริงอีกแบบหนึ่ง
๒ สัมมาสังกัปโป (ความดำริชอบ ความคิดชอบ) .๑ คิดในการไม่เบียดเบียน ๒.๒ คิดไม่พยาบาทปองร้าย ๒.๓  คิดเพื่อพ้นไปจากทุกข์
๓ สัมมาวาจา (วาจาชอบ) ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ๓.๑ วาจาชอบที่กล่าวทั่วไป ๓.๒ วาจาชอบที่กล่าวตามสุภาษิตไม่เป็นพิษภัยแก่ผู้ฟัง กล่าวมีเหตุผลน่าฟังจับใจ กล่าวสุภาพอ่อนโยน ๓.๓ วาจาชอบยิ่ง คือกล่าวสัลเลขธรรม (เพื่อฆ่ากิเลสอย่างเดียว)
๔ สัมมากัมมันโต (การงานชอบ) ๔.๑ การงานชอบทั่วไปประการหนึ่ง เช่น การงานที่ทำโดยชอบธรรมและไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ๔.๒ การงานชอบโดยธรรมประการหนึ่ง เช่น การให้ทานรักษาศีล ภาวนา เดินจงกรมและทำข้อวัตรต่างๆฯ
๕ สัมมาอาชีโว (อาชีพชอบ เลี้ยงชีพชอบ) ๕.๑ การแสวงหาอาชีพโดยชอบธรรม ๕.๒ การพิจารณาเป็นธรรม จะนำอาหารคือโอชารสแห่งธรรมเข้ามาหล่อเลี้ยงหัวใจให้มีความชุ่มชื่นด้วยความฉลาดแห่งปัญญา
๖ สัมมาวายาโม   (ความเพียรชอบ)   ๖.๑ เพียรระวังอย่าให้บาปเกิด
ขึ้นในสันดาน ๖.๒ เพียรทำลายบาปที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดสิ้นไป  ๖.๓ เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วอย่าให้เสื่อมไปและพัฒนาให้เจริญยิ่งๆขึ้น  สรุปคือความเพียรที่ประกอบด้วยปัญญา วิธีการที่ถูกต้องแม่นยำ จังหวะที่ควรเร่งก็เร่งเต็มที่   จังหวะที่ควรพักก็ต้องพัก   ลดความเพียรแล้วเปลี่ยนอิริยาบถ มีความปลอดภัย   สถานที่เหมาะสม    มีกัลยาณมิตรคือครูอาจารย์แนะนำ
ปฏิบัติให้สม่ำเสมอด้วยหลักมัชฌิมาปฏิปทา    เมื่อมีความพอเพียงนิโรธก็
จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์และทำให้ความทุกข์ได้หมดสิ้นไปจากใจ

๗ สัมมาสติ  (สติชอบ)  สติปัฏฐาน ๔   คือสติกำหนดพิจารณากาย
เวทนา จิต ธรรม ในที่นี้จะยกเอาสติกำหนดพิจารณาจิต  (ผู้รู้)  นำมาแสดงพอให้เป็นที่เข้าใจ  เมื่อจิตสงบเพ่งเบาๆที่ฐานของจิต  มโนภาพนึกให้สลายแยกออกตามเข้าไปเรื่อยๆ ไม่ต้องละเอียดมาก   (โดยอนุโลมปฏิโลม)   ด้วยความมีสติตัวรู้ตามตลอด (สัมมาสติ)  แรกเริ่มปฏิบัติสติตามไม่ทันไม่ต้องกังวล ปฏิบัติให้สม่ำเสมอแล้วจะเกิดความชำนาญ (ดูหน้า ๓๖๓๗ เพิ่ม)
๘ สัมมาสมาธิ (สมาธิชอบ) คือสมาธิที่สัมปยุตด้วยสติปัญญา ไม่ใช่สมาธิแบบหัวตอ (สงบอย่างเดียวไม่ออกทางปัญญา) สัมมาสมาธิ เมื่อจิตสงบมีสติรู้อยู่ในองค์สมาธินั้นแล้วเพ่งเบาๆไปในที่ตั้งของจิต เช่น ที่หน้าผากฯ มโนภาพนึกกำหนดให้สลายแยกออกตามเข้าไปเรื่อยๆ ไม่ต้องละเอียดมาก โดยอนุโลมปฏิโลม จิตจะเป็นวิปัสสนาโดยอัตโนมัติ เรียกว่าการพิจารณาจิต (ผู้รู้) ออกทางปัญญา พิจารณาไตรลักษณ์ ทำให้สม่ำเสมอ เมื่อมีความพอเพียงนิโรธก็จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ = มรรคสมังคี = ความพอเพียงของมรรค = สอุปาทิเสสนิพพานฯ (ดูภาวนาหน้า ๑๐ เพิ่มเติม)
ในองค์มรรค (มัชฌิมาปฏิปทา , ทางสายกลาง , ความพอดี , ความพอเพียงฯ) นั้น  เห็นชอบ  ดำริชอบ  สงเคราะห์เข้าเป็นปัญญาสิกขา  วาจาชอบ  การงานชอบ   เลี้ยงชีวิตชอบ   สงเคราะห์เข้าในศีลสิกขา   เพียรชอบ  ระลึกชอบ  สมาธิชอบ  สงเคราะห์เข้าในจิตตสิกขา   พระพุทธองค์ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า “ ภิกขู สัมมา วิหะเรยยุง อะสุญโญ  โลโก  อะระหันเตหิ  อัส


สะฯ ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ โดยชอบ (สัมมา) แล้ว โลกนี้ก็จะไม่ว่างเว้นไปจากพระอรหันต์ฯ ” (มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ / ๑๔๕
)


สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ 

5.พระอรหันต์ ๔ ประเภท

พระอรหันต์ ๔ ประเภท
           ๑ สุกขวิปัสสโก เป็นผู้รู้อย่างค่อยละเอียดลออ  บรรลุอย่างสงบเงียบ  และไม่รู้ขณะ  เปรียบการเดินทางนั่งรถแล้วหลับสบาย  เมื่อถึงจุดหมายยังไม่รู้สึกตื่น (เปรียบกิเลสหมดสิ้นไปจากใจแต่ไม่รู้ฯ)  คนขับต้องมาปลุกให้ตื่น (เปรียบสิ่งทดสอบ) จึงรู้ว่าถึงแล้ว เช่น พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร      
๒ เตวิชโช เป็นผู้ได้วิชชา ๓ บรรลุรู้ขณะ เปรียบกับการเดินทางนั่งรถไปแล้วได้ชมทิวทัศน์ต่างๆไปด้วย เมื่อถึงจุดหมายปลายทางจึงรู้เองและเห็นเองว่าได้ไปถึงที่แล้ว พระโสภิตเถระ เอตทัคคะในทางระลึกปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือการระลึกชาติหนหลัง   
๓ ฉฬภิญโญ  เป็นผู้ได้อภิญญา ๖ และแสดงฤทธิ์ได้  เช่น  สามารถเหาะเหินเดินอากาศ รู้จิตใจของผู้อื่น  เป็นต้น  บรรลุรู้ขณะ  เปรียบเช่นข้อ ๒ พระมหาโมคคัลลานะเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์   
๔ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต  แตกฉานเต็มเหนี่ยว  กว้างขวางลึกซึ้งและสอนเก่ง บรรลุรู้ขณะ เปรียบข้อ ๒ ๓ พระมหาโกฏฐิตเถระ เอตทัคคะใน

ทางแตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ “ สังฆาปาราชิกไม่มีในพระอริยบุคคล  และเมื่อได้หลุดพ้นไปจากสมมุติด้วยประการทั้งปวงแล้ว พระอรหันต์นั้นท่านจึงเป็นสติวินัย คือฉลาด รอบคอบ รอบตัวและ


 
รอบกับทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง
ไม่มีปัญหาอะไรกับสมมุติ เป็นอฐานะคือเป็นไปไม่ได้  (อย่าไปโจษท่านฯ) 
การปฏิบัติไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นสุกขวิปัสสโก เตวิชโช  ฉฬภิญโญหรือจตุ

ปฏิสัมภิทัปปัตโต เพราะจะทำให้สงสัย  ไม่ต้องแข่งกับใคร  ชนะตนได้นั้นประเสริฐสุด คือทำให้กิเลสหมดสิ้นไปจากใจแล้วก็เป็นใช้ได้ (เพียงพอและ สุดยอด) ถึงเวลานั้นแล้วไม่ดีดไม่ดิ้น  (ไม่ตื่น สักแต่ว่าฯ)  เพราะนั่นคือสอุปาทิเสสนิพพาน (ที่สุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งจิตและเป็นชาติสุดท้าย) ” 


สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ 

4.นิพพาน ๒


              ๑ สอุปาทิเสสนิพพาน (มีชีวิตและขันธ์ ๕)  ประสบกับเวทนาบ้าง   แต่เวทนาไม่สามารถซึมซาบเข้าถึงจิต สักแต่ว่ารู้ๆไม่เป็นกิเลส ไม่มีเกิดดับ (เที่ยงตลอดฯ)  พระอรหันต์ไม่มีเวทนาทางใจมีแต่เวทนาทางกาย  จิตเป็นกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ไม่สะทกสะท้าน จิตปล่อยวาง ๑๐๐ %  ปล่อยวางข้างนอก  ปล่อยวางข้างในและปล่อยวางด้วยประการทั้งปวง(ที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ใช่โดยสัญญาความรู้ความจำหรือว่าการฝึกดัด)
๒ อนุปาทิเสสนิพพาน (ปกหน้า) ขันธ์ ๕ แตกดับคือตาย  การรับรู้

อารมณ์ทั้งปวงดับสนิท  จิตเป็นธรรมธาตุ (ธรรมธาตุครอบไตรโลกธาตุ) สุดแดนสมมุติ ที่สุดแห่งจิต ที่สุดแห่งทุกข์และเป็นบรมสุขตลอดกาลนาน


สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ 

3.พระอริยบุคคล ๔ (คุณธรรมที่ไม่เสื่อม)


            ๑ พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อต้น เป็นผลทำให้ท่านเห็นว่า กายและขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่ของเราเป็นของไม่เที่ยง จึงไม่ยึด ไม่มีความสงสัยในพระรัตนตรัย ถึงไตรสรณคมน์อย่างเที่ยงแท้ไม่เสื่อมคลาย เห็นกรรมมีในตนท่านจึงกลัวกรรม ไม่กล้าทำบาปด้วยประการทั้งปวง ศีลบริสุทธิ์ตลอดชีวิต ไม่มีการลูบคลำศีล มีความละอายตลอด เจตนาผิดศีลโดยลามกไม่มี ปิดอบายภูมิ กิเลสยังมีเต็ม ๑๐๐ เข้าสู่กระแสพระนิพพาน จะมาเกิดในท้องของแม่อีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์                                                                                            
            ๒ พระสกิทาคามี ละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อต้นและทำสังโยชน์ข้อ ๔ คือราคะและข้อ ๕ คือปฏิฆะให้เบาบางลง ๙๙๕๑ % แต่ละชั้นกิเลสขาดแล้วขาดเลยไม่เกิดขึ้นมาอีกได้แล้วไม่เสื่อม ความกำหนัดเริ่มเบาบางจึงมีความรำคาญบ้าง จิตดูดดื่มและเริ่มปล่อยวางเป็นไปตามลำดับ จะมาเกิดในท้องของแม่อีกไม่เกิน ๑ ชาติแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์                         

๓ พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้ ๕ ข้อต้น (ปริยัติท่านวางไว้กลางๆ) เรื่องกามราคะไม่ดีดดิ้น ความกำหนัดขาด ๕๐ % จึงไม่มีความรำคาญ  จืดชืดเรียนจบและสอบผ่าน คือตายแล้วไม่กลับมาเกิดในท้องแม่อีก แต่ไปเกิดเป็นอุปปาติกะ (เกิดแบบเติบโตขึ้นทันที)  ที่เกิดของพระอนาคามีคือสุทธา
วาส ๕ (อวิหา อตัปปา สุทัสสา  สุทัสสี  อกนิฏฐา) เปรียบเทียบ ๕๐๙๙ % จิตยังไม่บริสุทธิ์ละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆเต็มภูมิที่อกนิฏฐาแล้วดีดเข้าพระนิพ
พานเลย สังโยชน์ข้อ ๖ ๑๐ ติดทุกคน แต่เบาบางและละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ   สังเกตความฟุ้งซ่านลดลง กิเลสเบาบางมากแทบไม่มี เพราะตัวหนักๆหมดไป ที่เหลือจึงเป็นฝอยๆ สติปัญญา  ความเพียรและฆ่ากิเลสอัตโนมัติ  (เป็น
ไปเองไม่ต้องบังคับ)  ชำนาญการเข้าออกสมาธิ เรียกว่ามหาสติมหาปัญญา (สติปัญญาขั้นสูงสุด) ใช้เรียกสำหรับพระพุทธเจ้า เกิดจากสติที่มีกำลังกล้าและมีความคล่องตัว เทียบกับสติปัญญาอัตโนมัติ ใช้เรียกสำหรับสาวก  ไม่มีปริยัติมีแต่จิตล้วนๆ  ที่สุดจึงต้องใช้การพิจารณาจิต (ผู้รู้) เพื่อทำกิเลสในส่วนที่ละเอียดให้หมดสิ้นไปจากใจ บรรลุโสดาบัน สกิทาคามีและอนาคามี แต่ยังมีความสงสัย เพราะกิเลสตัวสุดท้ายคืออวิชชายังไม่หมดสิ้นไป

๔ พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ ๑๐ ข้อ อวิชชาดับ (หมดกิเลส) ท่านจึงหมดความสงสัย จิตมีความอิสระและเต็มภูมิ ถึงความสมบูรณ์และพอตัวของจิตใจ จิตบริสุทธิ์และว่าง (ว่างจากกิเลส) จิตสูญอย่างยิ่ง (สูญจากกิเลส) จึงเกิดความรู้ว่ากิเลสได้หมดสิ้นไป (นิพพิทาญาณ) กิเลสปรุงก็ปรุงตามธาตุขันธ์ยิบๆแย๊บๆ ปรุงปั๊บดับปุ๊บ เฉยๆ (ไม่ตื่น) ไม่มีอสุภะและกรรมฐาน (สิ่งเหล่านี้เป็นทางเดินผ่านไปหมดแล้ว) บรรลุธรรมขั้นสุดยอดเรียกว่าพระนิพพานคือจิตดวงเดียว จิตก็ใช่ธรรมธาตุก็ใช่ ไม่ถอยหลัง ไม่เดินหน้า (ไม่รำคาญเพราะอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านนั้นหมดสิ้นไป) องอาจสง่าผ่าเผย นิพพานเที่ยง , ว่างตลอดอนันตกาลตั้งแต่กิเลสพังลงไป

สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ 

2.สังโยชน์ ๑๐ (กิเลสเครื่องผูกมัดสัตว์ฯ)

สังโยชน์ กิเลสเครื่องผูกมัดสัตว์ไว้ในความเวียนว่ายตายเกิด


            ๑ สักกายทิฎฐิ ความเห็นเป็นเหตุยึดถือกาย ขันธ์ ๕ ว่าเป็นของเรา
๒ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในบาป บุญ กรรม ในพระปัญญาตรัส
รู้ของพระพุทธเจ้า ในพระรัตนตรัยฯ
๓ สีลัพพตปรามาส การทรมานตนให้ลำบากเปล่า ตึงเกินไป ลูบคลำศีล ความไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ในศีลของตนเอง ความยึดถือศีลและพรต ความติดในลัทธิพิธีต่างๆ ถือมงคลและตื่นข่าวฯ 
๔ กามราคะ ความกำหนัด (ในจิต) ยินดีในกามฯ
๕ ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ความโกรธ ไม่พอใจ กลัวฯ
๖ รูปราคะ ความยินดี (ติดใจ) ในรูปฌาน จิตสงบก็ยินดี จิตไม่สงบก็วิตกกังวล (พระอนาคามี อยู่ในขั้นของอรหัตตมรรค สังโยชน์ข้อ ๖๑๐ ติดทุกคน แต่เบาบางและละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ)  
๗ อรูปราคะ ความยินดี (ติดใจ) ในอรูปฌาน , ความฝัน , นิมิตฯ
๘ มานะ ถือตัว เปรียบเทียบ อิจฉา แข่งขัน นักเลงโต (ข่ม ไม่ยอม)  
๙ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน การพิจารณามากเกินไปฯ
๑๐ อวิชชา ความรู้จอมปลอม หลง หลอน สะดุ้ง ไม่รู้ สงสัยในเราและท่าน ในมรรคผลพระนิพพาน จึงเกิดการจับผิด เพ่งโทษและตำหนิด้วยประการต่างๆฯ 
            ๑ สักกายทิฎฐิ ความเห็นเป็นเหตุยึดถือกาย ขันธ์ ๕ ว่าเป็นของเรา


สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ 

1.สวดมนต์ไหว้พระแบบย่อ

๑ สวดมนต์ไหว้พระแบบย่อ (หากมีเวลาควรสวดแบบเต็ม)
เช้า (กราบ ๓ ครั้ง)


อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา , พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ) สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ,  ธัมมัง  นะมัสสามิ  (กราบ)  สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ , สังฆัง นะมามิ (กราบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยาฯ (คาถาป้องกันภัย)
แผ่เมตตาให้ตนเอง อะหัง สุขิโต โหมิ  นิททุกโข โหมิ อะเวโร  โหมิ อัพยาปัชโฌ โหมิ อะนีโฆ โหมิ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ สัพเพ  สัตตา  สุขิตา  โหนตุ  สัพเพ  สัตตา อะเวรา โหนตุ สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ สัพเพ  สัตตา  สัพพะ ทุกขา  ปะมุจจันตุ สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ สัพเพ  สัตตา  กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา  ภะวิสสันติ  (กราบ ๓ ครั้ง จบช่วงเช้า)
                                           เย็น (กราบ ๓ ครั้ง)
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา , พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ) สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ,  ธัมมัง  นะมัสสามิ  (กราบ)  สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ , สังฆัง นะมามิ (กราบ)

คำขอขมาพระรัตนตรัย
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง)
๑ กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา , พุทเธ  กุกัมมัง  ปะกะตัง  มะยา ยัง พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง , กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ
๒ กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา  วา  ,  ธัมเม  กุกัมมัง  ปะกะตัง  มะยา ยัง ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง , กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม
๓ กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา , สังเฆ กุกัมมัง  ปะกะตัง  มะยา ยัง สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง , กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ
แผ่เมตตาให้ตนเอง อะหัง สุขิโต โหมิ  นิททุกโข โหมิ อะเวโร  โหมิ อัพยาปัชโฌ โหมิ อะนีโฆ โหมิ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ สัพเพ  สัตตา  สุขิตา  โหนตุ  สัพเพ  สัตตา อะเวรา โหนตุ สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ สัพเพ  สัตตา  สัพพะ ทุกขา  ปะมุจจันตุ สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ สัพเพ  สัตตา  กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา  ภะวิสสันติ  (กราบ ๓ ครั้ง จบช่วงเย็น)


สายตรงพ้นทุกข์ (ทางลัด) โดย พระ สุปัญญา ธนปัญโญ